การปลูกผมด้วยเทคนิค FUT แตกต่างจากเทคนิค FUE อย่างไร
ปัญหาผมร่วง ผมบาง หัวล้าน หัวเถิก นับเป็นปัญหาที่มีผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับผู้หญิง บางคนผมร่วงมากจนหัวเริ่มล้านมาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เสียสุขภาพจิตกันไม่น้อย แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะปัจจุบันนี้มีการรักษากันอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการปลูกผมถาวร การปลูกผมถาวรเองก็มีหลายเทคนิค แต่เทคนิคที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูงในปัจจุบันคือ FUT และ FUE ทั้งสองเทคนิคนี้ต่างกันอย่างไร มาดูกัน
การปลูกผมด้วยเทคนิค FUT
FUT (Follicular Hair Tranplant) คือเทคนิคการปลูกผมที่ต้องตัดหนังศีรษะในบริเวณที่ต้องการรากผมมาปลูก หนังที่ตัดนั้นจะเป็นชิ้นยาว แต่จะกว้างเพียง 1-2 เซนติเมตร จากนั้นเย็บปิดแผล หนังศีรษะที่ได้นั้นจะนำไปแช่ในน้ำเลี้ยงเซลล์และนำไปแบ่งเป็นเซลล์รากผมเพื่อเตรียมปลูกต่อไป วิธีนี้มีข้อดีคือ เซลล์รากผมที่ได้มีความแข็งแรงมาก มีโอกาสสูญเสียเซลล์รากผมน้อยเพียง 2-3% เท่านั้นและยังปลูกผมได้ติดมาก เหมาะกับผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนมากแต่ไม่อยากตัดผมเกรียนหลังปลูก (หากผมยาว เส้นผมจะปิดแผลผ่าตัดเอาไว้) แต่ข้อเสียคือมีแผลเป็นด้านหลังนั้นอาจจะมองเห็นได้เมื่อตัดผมสั้น แผลใหญ่กว่า เจ็บมากกว่าและจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีหนังศีรษะยืดหยุ่นมากพอที่จะเย็บปิดแผลได้เท่านั้น
การปลูกผมด้วยเทคนิค FUE
FUE (Follicular Hair Extration) วิธีนี้จะใช้เข็มเจาะรอบรากผมและดึงให้รากผมหลุดออกมาทั้งยวง เป็นการปลูกผมที่ไม่ต้องตัดชิ้นหนังศีรษะขนาดใหญ่ แผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเล็กมากละกระจายไปได้ทั่วทั้งศีรษะ ไม่ใช่การปลูกผมแบบไร้รอยแผลเป็น แต่แผลนั้นจะมองเห็นได้ยาก เจ็บน้อยกว่า สำหรับข้อเสียคือรากผมที่ได้มีจำนวนน้อยกว่า เนื่องจากการดึงอาจทำให้รากเสียหายได้ มีโอกาสปลูกผมติดดีแต่ก็น้อยกว่าการปลูกแบบ FUT
เมื่ออ่านกันจบแล้วก็หวังว่าผู้อ่านจะเข้าใจวิธีการปลูกผมทั้ง 2 เทคนิคกันมากขึ้น และสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองได้ หากยังเลือกไม่ได้แนะนำให้เข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ดู จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับใครที่กำลังศึกษาแนวทางในการปลูกผมถาวร หากใครกำลังต้องการสอบถามข้อมูลของการปลูกผมของ Stem Cell ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Nida Clinic Center ผู้เชี่ยวชาญในการปลูกผมด้วย Stem Cell นวัตกรรม Ur Cell Hair Micro Transplant